คำนำ
ก่อนที่จะอ่านงานวิจัยทางการศึกษา
ผู้อ่านจำเป็นต้องมีความรู้พื้นฐานในเรื่อง
เนื้อหาวิจัย
และระเบียบวิธีวิจัย
ตลอดจนรู้จักแหล่งที่เผยแพร่งานวิจัย
ในบทความนี้จะเสนอประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการอ่านงานวิจัยทางการศึกษาเป็น
3 ประเด็นที่เกี่ยวข้องกัน คือ
- แหล่งที่เผยแพร่งานวิจัย
- ลักษณะงานวิจัยที่คุณภาพ
- ศัพท์เทคนิคทางการวิจัย
ดังมีรายละเอียดดังนี้
คือ
แหล่งที่เผยแพร่งานวิจัย
งานวิจัยที่เผยแพร่อยู่ในปัจจุบัน
นิยมตีพิมพ์เสนอในวารสาร
พิมพ์อัดสำเนาและเสนอในที่ประชุม
ซึ่งรูปแบบการนำเสนอมักจะแตกต่างกันตามความจำกัดต่าง
ๆ
งานวิจัยที่ตีพิมพ์ลงในวารสารมักจะมีขนาดสั้น
เพราะความจำกัดในด้านเนื้อที่และราคาพิมพ์งานวิจัยเหล่านี้
จึงประกอบด้วยหัวข้อดังนี้ คำนำ
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
วิธีวิจัย สรุปผลวิจัย อภิปราย
บรรณานุกรม
ตามปกติงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารทางวิชาการทั่วไปมักจะมีจำนวนหน้าไม่เกิน
15 หน้า ดังนั้น
งานวิจัยเหล่านี้จึงต้องได้รับการเขียนให้สั้น
ตรงประเด็น
และบางครั้งเหมาะสำหรับผู้อ่านที่อยู่ในวงการเดียวกัน
อย่างไรก็ตามงานวิจัยที่ตีพิมพ์ลงในวารสารต่าง
ๆ ก็มีคุณภาพต่าง ๆ
กันตามคุณภาพของวารสาร เช่น
วารสารบางฉบับจะพิมพ์เฉพาะงานวิจัยที่คัดเลือกแล้วเท่านั้น
จะไม่พิพม์พร่ำเพรื่อ ดังนั้น
การอ่านงานวิจัยในวารสารต่าง ๆ
เหล่านั้นย่อมทำให้เกิดวิถีแห่งปัญญาได้มากกว่างานวิจัยที่ตีพิมพ์ลงในวารสารอื่น
จากการสำรวจการจัดลำดับคุณภาพวารสารไทย
จำนวน 19 ฉบับ
และวารสารต่างประเทศจำนวน 24 ฉบับ
ซึ่งเป็นวารสารทางด้านการศึกษา
สังคมศาสตร์ และจิตวิทยา
ปรากฏว่า
จากการวัดลำดับตามเกณฑ์ต่าง ๆ
โดยนักการศึกษาทั่วประเทศไทย
สรุปได้ว่า (อุทุมพร ทองอุไทย, 2522)
เกณฑ์ที่ 1
วารสารไทย/เทศที่มีบทความ
งานวิจัยที่เป็นงานของวิชาการมากที่สุด
5 ลำดับแรก คือ
ภาษาไทย
| ภาษาอังกฤษ
|
1.
วารสารการวิจัยการศึกษา
| 1. Journal of Research Development in
Education
|
2.
วารสารคณะกรรมการการวิจัยแห่งชาติ
| 2. Review of Education Research
|
3.
วารสารจิตวิทยาคลีนิค
| 3. Journal of Education Review
|
4.
วารสารครุศาสตร์
| 4. Journal of Teacher Education
|
5.
วารสารสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์
| 5. Research in Education
|
เกณฑ์ที่ 2
วารสารไทยที่คิดว่าดีที่สุด 5
ลำดับแรก คือ
- วารสารวิจัยทางการศึกษา
- วารสารครุศาสตร์
- วารสารคุรุปริทัศน์
- วารสารสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์
- วารสารสภาการศึกษาแห่งชาติ
ดังนั้น
งานวิจัยต่าง ๆ
ที่พิมพ์เผยแพร่ลงในวารสารที่ได้รับการจัดลำดับน่าจะเป็นงานวิจัยที่ให้ผลวิจัยที่เป็นวิชาการ
ความเชื่อถือได้น่าจะสูง
ส่วนงานวิจัยที่พิมพ์อัดสำเนา
มักจะมีการเผยแพร่ไม่กว้างขวาง
ส่วนมากนักวิจัยมักจะนิยมส่งไปให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและห้องสมุดบางแห่ง
ดังนั้น
การค้นคว้าอ่านงานวิจัยเหล่านี้จึงมีความยากลำบาก
งานวิจัยที่พิมพ์อัดสำเนามักจะเป็นการพิมพ์เป็นฉบับสมบูรณ์
มีจำนวนหน้ามากกว่างานวิจัยที่พิมพ์ลงในวารสาร
ดังนั้นการอ่านงานวิจัยเหล่านี้จึงได้รายละเอียด
ประเด็นปลีกย่อยมากกว่าการอ่านงานวิจัยที่พิมพ์ลงในวารสาร
งานวิจัยที่เสนอผลในที่ประชุม
เช่นการประชุมทางวิชาการซิมโปเซียน
มักจะเสนอในรูปปากเปล่า
ใช้เวลาสั้น ๆ เช่น เรื่องลง 10-15
นาที
ผู้เสนอจึงมักจะเสนอแต่ประเด็นสำคัญ
ๆ เท่านั้น
ซึ่งถ้าผู้ฟังสนใจก็อาจสอบถามและติดตามขอรายงานเองได้
และในบางครั้งที่ประชุมอาจจัดพิมพ์บทคัดย่อของรายงานการประชุมก็ได้
เช่น
รายงานวิจัยที่เสนอในที่ประชุมซิมโปเซียม
ซึ่งจัดโดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ
ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 15-19 ตุลาคม 2522
มีงานวิจัยทางการศึกษา 265 เรื่อง
และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา
181 เรื่อง ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 7-11
กันยายน 2524 มีงานวิจัยทางการศึกษา
200 เรื่อง
และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา
111 เรื่อง
ซึ่งการอ่านงานวิจัยซึ่งเป็นบทคัดย่อเหล่านี้จะช่วยให้ผู้อ่านได้ทราบคร่าว
ๆ ว่าใครทำอะไรที่ไหน อย่างไร
และถ้าต้องการรายละเอียดก็อาจติดตามขอจากผู้วิจัยเองได้
ลักษณะงานวิจัยที่มีคุณภาพ
งานวิจัยในประเทศไทยโดยเฉพาะสาขาการศึกษามีจำนวนมาก
บางเรื่องมีความสำคัญให้คุณค่ามาก
แต่บางเรื่องให้คุณค่าน้อย
บางเรื่องครอบคลุมทั่วประเทศ
บางเรื่องครอบคลุมเฉพาะกลุ่มเล็ก
บางเรื่องเป็นวิจัยบริสุทธิ์
บางเรื่องเป็นวิจัยประยุกต์
บางเรื่องเป็นการสำรวจปัญหาและความต้องการ
บางเรื่องเป็นการทดลอง ดังนั้น
งานวิจัยต่าง ๆ ที่ตีพิมพ์
เผยแพร่อยู่จึงมีลักษณะแตกต่างกันยากที่จะประเมินคุณภาพ
และนำมาเปรียบเทียบกันได้
อย่างไรก็ตาม มีหลักอยู่คร่าว ๆ
ที่จะช่วยให้นักศึกษาสามารถนำไปใช้พิจารณาคุณภาพงานวิจัย
คือ
- ปัญหาที่นำมาวิจัย
มีความชัดเจน
สำคัญและมีความใหม่มากน้อยเพียงใด
- มีความเชื่อมโยงสอดคล้องระหว่างปัญหาวิจัย
แนวคิด (Conceptual Frame Work) สมมุติฐาน
วัตถุประสงค์ วิธีวิจัย
วิธีวิเคราะห์ การสรุปผลหรือไม่
- การอภิปรายผลให้คุณค่า
ให้ความรู้ใหม่ต่อผู้อ่านหรือไม่
หลักทั้ง 3 ข้อนี้
ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของผู้อ่านว่า
งานวิจัยนั้นมีคุณภาพมากน้อยเพียงใด
จัดทำขึ้นโดยภาควิชาวิจัยทางการศึกษา
คณะครุศาสตร์
ซึ่งได้เสนอแบบฟอร์ม
และค่าเพื่อตีเป็นคะแนนรวม
ศัพท์เทคนิคทางการวิจัย
ในรายงานการวิจัย
ผู้อ่านจะพบกับคำศัพท์จำนวนมากที่เป็นศัพท์เทคนิคต่าง
ๆ ในที่นี้ จะเสนอคำศัพท์
ตลอดจนความหมายเฉพาะที่พบบ่อย ๆ
ดังนี้คือ
1.
ปัญหาวิจัย
คือ ประเด็น
ข้อสงสัย ข้อขัดแย้ง
หรือข้อคิดที่ต้องการคำตอบจากระบวนการศึกษาค้นคว้าอย่างมีระบบ
เช่น
ค่านิยมของคนไทยเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมการใช้พลังงานของคนไทยหรือไม่?
สติปัญญามีส่วนสัมพันธ์กับความสนใจอาชีพครูหรือไม่?
เหล่านี้เป็นปัญหาที่ต้องการคำตอบด้วยการวิจัย
2. แนวคิด
คือ ลู่ทาง
หรือแนวทางที่ช่วยกำหนดรูปแบบการวิจัย
เช่น
จะศึกษาทัศนคติต่อวิชาชีพครูของครูประจำการ
แนวคิดในที่นี้คือ
มีตัวแปรหรือตัวประกอบหรือปัจจัยอะไรบ้างที่เกี่ยวข้อง
หรือกำหนดทัศนคติต่อวิชาชีพครูบ้าง
ปัจจัยในที่นี้อาจเป็นปัจจัยทางเศรษฐกิจ
สังคม ประชากรศาสตร์ก็ได้
ดังนั้น
ในการศึกษาจึงต้องกำหนดปัจจัยต่าง
ๆ
เพื่อศึกษาหาความสัมพันธ์กับทัศนคติต่อวิชาชีพครู
3. สมมุติฐาน
คือ
คำตอบหรือผลวิจัยที่คาดไว้ล่วงหน้า
เช่น
คาดว่าปัจจัยทางประชากรศาสตร์ทางสังคม
และทางเศรษฐกิจจะเกี่ยวข้องกับทัศนคติต่อวิชาชีพครู
แต่การคาดการณ์นี้ยังไม่ได้รับการยืนยันว่า
จะเป็นเช่นนั้นหรือไม่
และจะเกี่ยวข้องกันมากน้อยเพียงใด
4.
ความไม่สมบูรณ์ของการวิจัย
ตามปกติการวิจัยทุกเรื่องจะไม่สมบูรณ์
เนื่องจากความจำกัดบางอย่างในเรื่องเวลา
แรงงาน เงินงบประมาณ ความคิด
ความสามารถในการวัดและจัดกระทำ
ฯลฯ ดังนั้น
ถ้าผู้วิจัยสามารถทราบและระบุความไม่สมบูรณ์ของการวิจัยของเขาได้
จะช่วยให้การสรุปผลชัดเจนและน่าเชื่อถือมากขึ้น
เพราะจะทำการสรุปผลภายใต้ข้อจำกัดต่าง
ๆ
5.
คำจำกัดความ
ถ้าในการวิจัยมีคำหรือวลี
ซึ่งอาจจะมีความหมายเฉพาะในงานวิจัยนั้น
ๆ จำเป็นต้องอธิบายและขยายความ
เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจตรงกันกับผู้วิจัย
คำจำกัดความนี้มิใช่คำนิยามที่คัดลอกจากพจนานุกรม
หากเป็นคำจำกัดความที่ได้จากการวัด
เช่น
คำว่าทัศนคติต่ออาชีพครูในวิจัยนี้
หมายความถึงคะแนนที่ได้จากแบบวัดทัศนคติต่ออาชีพครู
ซึ่งสร้างโดยผู้วิจัย
ซึ่งครอบคลุมเรื่องความรู้และความรู้สึกต่อาชีพของครู
เป็นต้น
6. วิธีวิจัย
ผู้วิจัยจะต้องกล่าวถึงวิธีการที่จะวิจัยหรือวิธีดำเนินงานวิจัยด้วย
ในทางสังคมศาสตร์นิยมที่จะครอบคลุมเรื่องต่าง
ๆ คือ ประชากร กลุ่มตัวอย่าง
การรวบรวมข้อมูล วิธีวิเคราะห์
และวิธีเสนอผลการวิเคราะห์
ดังนั้น
วิธีวิจัยที่จะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจถึงขั้นตอนว่าข้อมูลที่ใช้ในการวิจัยนี้ได้มาอย่างไร
รวบรวมจากใคร ที่ไหน เมื่อไร
และจะวิเคราะห์เพื่อตอบคำถามตามวัตถุประสงค์ของการวิจัยอย่างไร
7.
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
ประชากร
ในความหมายของการวิจัย หมายถึง
จำนวนทั้งหมดที่ศึกษา เช่น
จำนวนคนในประเทศไทย
ที่ใช้ในการศึกษาเรื่องโครงสร้างทางสังคมไทย
เป็นต้น
ส่วนกลุ่มตัวอย่างคือ
ส่วนย่อยของประชากร
การวิจัยเชิงสำรวจ
เน้นกลุ่มตัวอย่างที่เป็นตัวแทนของประชากร
ดังนั้น
กลุ่มตัวอย่างจึงสำคัญมากเพราะจะต้องสุ่มใ
ห้ได้กลุ่มตัวอย่างที่มีลักษณะเหมือนประชากรทุกประการ
ยกเว้นขนาดที่เล็กกว่าเท่านั้น
การได้มาซึ่งกลุ่มตัวอย่างที่เล็กกว่าประชากร
มักนิยมใช้การสุ่มตัวอย่าง
8. ตัวแปร
คือ สื่งที่ศึกษา
ซึ่งมีลักษณะแปรเปลี่ยนไปตามบุคคลหรือสิ่งของที่ให้ข้อมูล
เช่น
ความคิดเห็นของคนไทยต่อมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
ในที่นี้ตัวแปรคือ
ความคิดเห็นซึ่งแตกต่างกันตามกลุ่มที่ไปศึกษา
9.
เครื่องมือวิจัย
คือสิ่งที่จะช่วยให้ได้ข้อมูลมาทำการศึกษาวิเคราะห์เครื่องมือในที่นี้
เช่น แบบทดสอบ แบบวัด แบบสอบถาม
แบบสังเกต เครื่องชั่งน้ำหนัก
เครื่องวัดส่วนสูง
เครื่องมือทดลองทางจิตวิทยา
หรือเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์
วิศวกรรมศาสตร์ เป็นต้น
10.
สถิติศาสตร์
เป็นวิชาที่ช่วยให้ได้ข้อมูล
วิเคราะห์และสรุป
ข้อมูลสถิติศาสตร์แบ่งเป็น 3
สาขาที่เกี่ยวข้องกันคือ (ก)
สถิติศาสตร์ที่ใช้เพื่อบรรยายข้อมูลที่รวบรวมมาได้
เช่น การหาค่าเฉลี่ย
การวัดการกระจาย
การเสนอในรูปตาราง ฮิสโตแกรม
เป็นต้น (ข)
สถิติศาสตร์ที่ใช้สรุปอ้างอิงจากกลุ่มตัวอย่างไปหาประชากร
เช่น
สรุปจากค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง
(X) ไปหาค่าเฉลี่ยของประชากร ( m )
ภายใต้ความเชื่อมั่นที่กำหนด
ซึ่งจะทำให้สามารถสรุปไปได้กว้างขวางกว่า
เพราะสรุปไปหาประชากรซึ่งมีขนาดใหญ่กว่ากลุ่มตัวอย่าง
ส่วนที่สามคือ (ค)
สถิติวิเคราะห์ความแปรปรวน
ซึ่งช่วยให้สามารถทดสอบสมมติฐานในเรื่องเหตุผลได้
ดังนั้นงานวิจัยที่ใช้สถิติต่างกันย่อมสรุปผลได้ต่างกัน
11.
ความมีนัยสำคัญ (a )
ในการสรุปอ้างอิงค่ากลุ่มตัวอย่าง
(สถิติ) ไปหาค่าประชากร (พารามิเตอร์)
จำเป็นต้องอาศัยความน่าจะเป็น
ในที่นี้คือ
สรุปความสำคัญตามนัยนั่นเอง
การสรุปนี้เป็นการสรุปภายใต้การคาดคะเนเกี่ยวกับโอกาสที่จะเกิดขึ้น
ตามปกตินักวิจัยส่วนมากนิยมสรุปภายใต้ความมีนัยสำคัญ
a ค่า คือ .05 และ .01 ซึ่งไม่จำเป็น
นักวิจัยอาจจะสรุปค่าความมีนัยสำคัญค่าใด
ๆ ก็ได้
ถ้าเข้าใจความหมายของตัวเลขเหล่านี้ว่า
หมายถึงโอกาสที่จะปฏิเสธสมมติฐานทางสถิติที่ถูก
เช่น ถ้ากำหนดให้ a (ระดับความมีนัยสำคัญ)
เป็น .05 หมายความว่า
ถ้ามีการวิจัยนี้ซ้ำ 100 ครั้ง
จะปรากฏผลแตกต่างจากข้อสรุปนี้ 5
ครั้ง ในทำนองเดียวกัน ถ้า a เป็น .01
โอกาสที่จะสรุปแตกต่างออกไปจะเป็น
1 ครั้ง ดังนั้น
จะเห็นว่าในการตั้ง a = .01
ย่อมคาดคะเนโอกาสที่จะสรุปอย่างความคลาดเคลื่อนย่อมน้อยลงด้วย
12.
ความเชื่อถือได้ของเครื่องมือ
ในการวิจัยส่วนมากจะอาศัยการรวบรวมข้อมูลอย่างมีระบบ
ซึ่งมักจะผ่านเครื่องมือต่าง ๆ
เช่น แบบสอบถาม แบบทดสอบ แบบวัด
เครื่องมือทดลอง เป็นต้น
เครื่องมือเหล่านี้ต้องได้รับการพิสูจน์ในด้านคุณภาพของเครื่องมือก่อนว่าให้ข้อมูลเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด
การวิจัยทางการศึกษาถ้าใช้แบบทดสอบ
(Test)
เป็นเครื่องมือในการรวบรวมข้อมูล
แบบทดสอบนั้นต้องระบุค่าความเที่ยง
(Reliability Coefficient) และค่าความตรง (Validity Coefficient)
ของแบบทดสอบด้วย
ค่าความเที่ยงและค่าความตรงให้ความหมายต่างกัน
คือ
ค่าความเที่ยงจะบอกให้ทราบว่า
เครื่องมือนั้นมีความเชื่อถือได้หรือมีความคลาดเคลื่อนในการวัดมากน้อยเพียงใด
ถ้าเชื่อถือได้สูงก็คลาดเคลื่อนน้อย
ค่าความตรง
บอกให้ทราบว่า
เครื่องมือนั้นวัดได้ตามที่ต้องการจะวัดมากน้อยเพียงใด
เช่น ต้องการวัดความซื่อสัตย์
เครื่องมือนี้สามารถวัดคนซื่อสัตย์ได้หรือไม่
จำแนกคนซื่อสัตย์จากคนไม่ซื่อสัตย์ได้หรือไม่
เป็นต้น
ค่าความเที่ยงและค่าความตรง
โดยการคำนวณจะได้ค่าอยู่ระหว่าง
0 ถึง 1 ดังนั้น ถ้าค่าเข้าใกล้ 1
แสดงว่ามีความเที่ยงหรือความตรงสูงขึ้นตามลำดับ
|